วันพุธที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2556

บทความ12. ความปลอดภัยในการใช้อินเทอร์เน็ตและSocial Network

ความปลอดภัยในการใช้อินเทอร์เน็ตและSocial Network

ความปลอดภัยในการใช้อินเตอร์เน็ต

ปัจจุบันการใช้งานระบบอินเทอร์เน็ตมีประโยชน์อย่างมาก จึงทำให้การใช้งานเป็นไปอย่างแพร่หลาย บุคคลที่ใช้อินเทอร์เน็ตจึงมีหลายจุดประสงค์ ทั้งใช้งานในสิ่งที่เป็นประโยชน์ และการใช้งานที่เป็นผลร้ายต่อบุคคลอื่น เพื่อจะได้ปลอดภัย จากภัยร้ายบนอินเทอร์เน็ต จึงควรศึกษาคู่มือวิธีการใช้อินเตอร์เน็ตอย่างระเอียด และปฏิบัติตาม เพื่อความปลอดภัยในการใช้อินเตอร์เน็ต (ข้อความจากเวบไซต์สำนักงานตำรวจแห่งชาติ)

1. เมื่อเริ่มใช้อินเทอร์เน็ตเป็นครั้งแรก ควรปรึกษาผู้ใหญ่เกี่ยวกับแนวทางในการใช้ในการใช้อินเทอร์เน็ตต่อวัน และเมื่อผู้ใช้มีความรู้ และคุ้นเคยในการใช้งานจริงบ้างแล้ว จึงค่อยปรับเปลี่ยนแนวทางในใช้เวลาในการใช้อินเทอร์เน็ตให้เหมาะสมต่อไป และควรเขียนแนวทางในการใช้อินเทอร์เน็ตติดไว้ใกล้กับคอมพิวเตอร์ เพื่อความสะดวกในการจัดระบบการใช้อินเทอร์เน็ต

2. อย่าให้รหัสลับแก่ผู้อื่น

3. ต้องได้รับอนุญาตจากผู้ใหญ่ ทุกครั้งที่ให้ข้อมูลส่วนตัวกับบุคคลอื่นในอินเทอร์เน็ต

4. ตรวจทานว่าได้พิมพ์ชื่อเว็บไซด์ถูกต้องเสียก่อน แล้วจึงกด Enter เพื่อจะได้เข้าเว็บไซด์ที่ต้องการได้ถูกต้อง

5. ปรึกษาผู้ใหญ่ ก่อนเข้าใช้ห้องสนทนาบนอิน เทอร์เน็ต เพราะว่าห้องสนทนาแต่ละห้องมีการสนทนาที่แตกต่างกัน บางห้องอาจไม่เหมาะสม

6. ถ้าพบเห็นข้อความ หรือสิ่งใด ที่ไม่เหมาะสม หรือ คิดว่าไม่ดีต่อการใช้อินเทอร์เน็ต ควรออกจากเว็บไซด์นั้น และแจ้งให้ผู้ใหญ่ทราบทันที

7. อย่าส่งรูปภาพของตนเอง หรือรูปภาพของผู้อื่น ให้คนอื่นทางอีเมลล์ ยกเว้นได้รับอนุญาตจากผู้ใหญ่เสียก่อน

8. ถ้าได้รับอีเมลล์ที่มีข้อความไม่เหมาะสมหรือทำให้ไม่สบายใจ ไม่ควรโต้ตอบ และควรบอกให้ผู้ใหญ่ทราบก่อนทันที

9. บนอินเทอร์เน็ต ทุกอย่างที่คุณเห็นไม่ใช่เรื่องจริงเสมอไป

10. อย่าบอกอายุจริงของคุณกับคนอื่น ถ้ามีความจำเป็นควรปรึกษาผู้ใหญ่ก่อน

11. อย่าบอกชื่อจริง และนามสกุลจริงกับบุคคลอื่น ถ้ามีความจำเป็นควรปรึกษา และขออนุญาตผู้ใหญ่ก่อน

12. อย่าบอกที่อยู่ ของคุณกับบุคคลอื่น

13. ปรึกษาผู้ใหญ่ก่อนทุกครั้งที่จะทำการลงทะเบียนใด ๆ บนอินเทอร์เน็ต

14. อย่าให้หมายเลขของบัตรเครดิตการ์ดของคุณกับบุคคลอื่น ถ้ามีความจำเป็นควรปรึกษาผู้ใหญ่ก่อน

15. ขณะที่ใช้อินเทอร์เน็ต ทุกอย่างขึ้นอยู่กับเรา คุณสามารถทำในสิ่งที่ตัวเองต้องการ และไม่ทำในสิ่งที่ไม่ต้องการได้

16. อย่าเปิดเอกสารหรืออีเมลล์หรือไฟล์ จากบุคคลอื่นที่ไม่รู้จัก เพราะอาจมีไวรัส หรือข้อมูลไม่เหมาะสม มากับเอกสารหรืออีเมลล์นั้น

17. ควรวางเครื่องคอมพิวเตอร์ไว้ในสถานที่ที่สะดวกในการดูแลเอาใจใส่ เช่น ห้องนั่งเล่น หรือ ห้องส่วนรวม

18. อย่าตัดสินใจที่จะไปพบบุคคลอื่นซึ่งรู้จักกันทางอินเทอร์เน็ตโดยไม่ได้รับอนุญาตจากผู้ใหญ่ และถ้ามีการนัดพบกันไม่ควรไปเพียงลำพัง ควรมีผู้ใหญ่หรือคนที่รู้จักหรือเพื่อนไปด้วย และควรนัดพบกันในที่สาธารณะ

19. บนอินเทอร์เน็ตข้อมูลต่าง ๆ ที่เราพิมพ์ลงไป บุคคลอื่นที่เราไม่รู้จักสามารถล่วงรู้ได้ จึงควรใช้อย่างระมัดระวัง

20. อย่าบอกเบอร์โทรศัพท์ของคุณกับบุคคลอื่น ในอินเทอร์เน็ต

21. พูดคุยกับผู้ใหญ่อย่างสม่ำเสมอ เกี่ยวกับสถานที่ กิจกรรม และสิ่งต่าง ๆ ที่พบเห็น บนอินเทอร์เน็ตที่ได้พบเห็น ระหว่างการใช้อินเทอร์เน็ต

22. ใช้ชื่อที่ต่างจากชื่อจริง และชื่อเล่นของตัวเองเพื่อใช้แทนตัวเอง ในขณะใช้อินเทอร์เน็ต

23. ควรปรึกษาผู้ใหญ่ ถ้าต้องการที่จะให้อีเมลล์แอดเดรสกับบุคคลอื่นในอินเทอร์เน็ต

24. ถ้ามีบุคคลอื่นที่ไม่รู้จักกันมาก่อน ถามเกี่ยวกับข้อมูลส่วนตัวมากเกินไป ไม่ควรให้ข้อมูล และควรหยุดการสนทนานั้น

25. อย่าบอกชื่อ ที่อยู่ของโรงเรียนของคุณ กับบุคคลอื่นบนอินเทอร์เน็ต

26. ขณะใช้อินเทอร์เน็ตไม่ควรเชื่อคำพูดหรือข้อมูลของบุคคลอื่น เพราะการปลอมตัวทำได้ง่าย และอาจไม่เป็นความจริง

27. อย่าทำสิ่งผิดกฎหมายบนอินเตอร์เน็ต เช่น ถ้าไม่เคยใช้บัตรเครดิต ก็ไม่ควรกรอกข้อมูลในการซื้อของ โดยใช้บัตรเครดิต บนอินเทอร์เน็ต

28. เมื่อมีใครบางคนให้เงินหรือของขวัญ ฟรี ๆ กับคุณ ควรบอกปฏิเสธ และบอกให้ผู้ใหญ่ทราบทันที

29. อย่าใช้คำไม่สุภาพ ขณะใช้อินเทอร์เน็ต

30. คุณสามารถออกจากอินเทอร์ได้ด้วยตัวเอง ถ้าไม่ต้องการใช้อินเทอร์เน็ต


การ ใช้งานอินเตอร์เน็ตนอกสถานที่ ไม่ว่าจะเป็นที่ร้านอินเตอร์เน็ตคาเฟ่, Business Center ของโรงแรม หรือสถานที่ใดๆ ที่ให้บริการ สิ่งหนึ่งที่พบก็คือการขาดความดูแลในเรื่องของการให้บริการ security สำหรับส่วนของลูกค้า ดังนั้นเราในฐานะผู้ใช้งานคงจำเป็นต้องดูแล เรื่องข้อมูลของเราด้วยตัวเอง โดยเฉพาะรหัสผ่านในการเข้าถึงเมล์ของเรา



การใช้ Social network ความปฏิบัติดังนี้ (1) ปกปิดเรื่องส่วนตัว เช่น ญาติมิตร สิ่งที่รัก คนที่รักชอบ หรือกิจกรรมที่กระทำ ไว้บ้าง อย่าบอกทุกเรื่อง การเปิดโล่งบัญชี Facebook ถือเป็นเรื่องที่เสี่ยงอย่างยิ่ง

(2) อย่าเปิด/อนุญาติ แอปพิเคชั่นที่เราไม่แน่ใจ เพราะใน Social Network มักจะเชื่อมต่อในหลากหลายผลให้สามารถล่วงรู้กลุ่มบุคคลใดที่ติดต่อเรา รู้กิจกรรมทั้งหมดที่เราทำบน Social Network

(3) ให้ผู้ใช้ได้สัมผัสกันโดยไม่มีประกาศแจ้งเตือนล่วงหน้า ไม่นานมานี้ก็เพิ่งจะมีคุณสมบัติที่ติดตามการชอปปิงของผู้ใช้แล้วเผยแพร่ให้คนอื่นๆ ได้รู้กันทั่วกัน

(4) ผู้ใช้ต้องมีวิจารณญาณที่เหมาะสม เพราะจะช่วยลดความเสี่ยงต่างๆ ได้พอสมควร สำหรับมือใหม่เพิ่งหัดใช้ ต้องเข้าไปตั้งค่าความเป็นส่วนตัวได้ที่ Privacy Settings จากเมนู Settings ซึ่งเราสามารถเปลี่ยนรายละเอียดในการเผยแพร่ภาพถ่าย ข้อความ ข้อมูลส่วนตัว และข้อมูลการทำงานได้

(5) ศึกษาข้อมูลและอ่านวิธีการใช้งานให้แน่ชัด หรือสอบถามจากผู้รู้ที่เชื่อถือได้ถึงข้อดีข้อเสียของ Social Network นั้นก่อนที่จะใช้งาน

สุดท้ายนี้ผู้ใช้ Social Network ต้องเก็บเรื่องราวให้เป็นความลับ คิดหลาย ๆ ครั้งก่อนที่คุณจะเริ่มโพสต์เนื้อหาหรือรูปภาพต่างๆ อย่าลืมตั้งค่าความเป็นส่วนตัว ระบุว่าใครบ้างที่สามารถเข้ามาดูอัลบั้มภาพถ่าย วิดีโอ โพรไฟล์ สถานะการอัพเดต และอีกสารพันข้อมูลเกี่ยวกับตัวของคุณได้บ้าง คิดก่อนรับคนที่ไม่รู้จักเป็นเพื่อนการค้นหาว่าใครบ้างที่อยู่ในรายชื่อคอนแทกต์บนอีเมล์ของคุณกำลังใช้ Social Network อยู่เป็นเรื่องที่ไม่ยาก แต่ก่อนที่จะรับคนเหล่านั้นให้เป็นเพื่อนกับคุณบน Social Network อย่าลืมพิจารณาให้รอบคอบด้วย





ที่มา : http://blog.pbru.ac.th/wp-content/uploads/2011/03/socialnetworkgrasgf-300x186.jpg

ที่มา : http://blog.pbru.ac.th/?p=23 , http://portal.in.th/inter-benz/pages/2697/



บทความ11. อธิบาย สปายแวร์คอมพิวเตอร์ (Spyware)

Spyware คืออะไร
สปายแวร์ ก็คือ โปรแกรมเล็ก ๆ ที่ถูกเขียนขึ้นมาสอดส่อง (สปาย) การใช้งานเครื่องคอมพิวเตอร์ของคุณ อาจจะเพื่อโฆษณาสินค้าต่าง ๆ สปายแวร์บางตัวก็สร้างความรำคาญเพราะจะเปิดหน้าต่างโฆษณาบ่อย ๆ แต่บางตัวร้ายกว่านั้น คือ ทำให้คุณใช้อินเตอร์เน็ทไม่ได้เลย ไม่ว่าจะไปเวบไหน ก็จะโชว์หน้าต่างโฆษณา หรืออาจจะเป็นเวบประเภทลามกอนาจาร พร้อมกับป๊อปอัพหน้าต่างเป็นสิบ ๆ หน้าต่าง

Description




บทความ10. อธิบาย ม้าโทรจันคอมพิวเตอร์ (Trojan)

ม้าโทรจันคอมพิวเตอร์ (Trojan)


คือ โปรแกรมที่ซ่อนตัวอยู่ในฮาร์ดดิสก์ด้วยฝีมือของแฮคเกอร์ ที่อาจส่งโค้ดแฝงมากับไฟล์แนบท้ายอีเมล การทำงานของโทรจันก็เหมือนกับเรื่องเล่าของกรีก ที่ว่าด้วยกลอุบายซ่อนทหารไว้ในม้าไม้ขนาดใหญ่ และนำไปมอบให้กับชาวเมืองทรอย (Trojans) พอตกกลางคืน ทหารกรีกที่ซ่อนตัวอยู่ในม้าไม้ก็ลอบออกมาเปิดประตูเมืองให้พวกของตนบุกเข้าตีเมืองทรอยได้อย่างง่ายดาย เปรียบได้กับแฮคเกอร์ที่ส่งโปรแกรมลึกลับ (ม้าโทรจัน) มาคอยดักเก็บข้อมูลในพีซีของคุณ แล้วส่งออกไปโดยที่คุณไม่รู้ตัวนั่นเอง






ที่มา : http://jjoracle.wordpress.com/

บทความ9. อธิบาย หนอนคอมพิวเตอร์ (Worm)

หนอนคอมพิวเตอร์ (Worm)


หนอนคอมพิวเตอร์จะสำเนาตัวเองและจะส่งผลต่อคอมพิวเตอร์โดยที่ผู้ใช้ไม่รู้ตัว มี 3 ทางใหญ่ๆ ด้วยกันที่ทำให้หนอนคอมพิวเตอร์เข้ามาในคอมพิวเตอร์ของเราได้ ก็คือ

1. ผ่านระบบอีเมล์ โดยจะมากับไฟล์ที่ติดมากับเมล์หรือข้อความที่อยู่ในจดหมาย เมื่อผู้ใช้เปิดจดหมายหรือไฟล์ ตัวหนอนนี้ก็จะติดตั้งตัวมันเองลงในระบบแบบเงียบ ซึ่งผู้ใช้ไม่สามารถทราบหรือรู้สึกได้เลยว่ามีหนอนเข้ามาอยู่ในคอมพิวเตอร์แล้ว เพราะการติดตั้งของตัวหนอนนี้ไม่เหมือนกับการติดตั้งโปรแกรรมโดยทั่วไป คือ จะไม่มี Dialog box , setup wizard หรือ คำเตือนใดๆ ขึ้น

2. จะแพร่กระจายเข้าคอมพิวเตอร์ที่อ่อนแอในระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ต โดยการกระจายเข้าในระบบปฏิบัติการและติดตั้งซอฟแวร์ที่ไม่มีความปลอดภัยลงในคอมพิวเตอร์

3. ผ่านทางโปรแกรมสนทนาบนเว็บ ( instant messag ) หรือเข้ามาขณะมีการดาวน์โหลดไฟล์ที่ใช้ร่วมกันบนเครือข่าย หรือเครือข่ายที่ใช้ร่วมกันโดยไม่มีระบบการป้องกัน






ที่มารูปภาพ : http://www.thaigoodview.com/library/contest2552/type2/tech04/33/picture/untitled3.gif
ที่มา : http://www.vcharkarn.com/vblog/115856

บทความ8. อธิบาย ไวรัสคอมพิวเตอร์ (Virus)

ไวรัสคอมพิวเตอร์ (Virus)

ไวรัส คือโปรแกรมชนิดหนึ่งที่มีความสามารถในการสำเนาตัวเองเข้าไปติดอยู่ในระบบคอมพิวเตอร์ได้และถ้ามีโอกาสก็สามารถแทรกเข้าไประบาดในระบบคอมพิวเตอร์อื่น ๆ ซึ่งอาจเกิดจากการนำเอาดิสก์ที่ติดไวรัสจากเครื่องหนึ่งไปใช้อีกเครื่องหนึ่ง หรืออาจผ่านระบบเครือข่ายหรือระบบสื่อสารข้อมูลไวรัสก็อาจแพร่ระบาดได้เช่นกันการที่คอมพิวเตอร์ใดติดไวรัส หมายถึงว่าไวรัสได้เข้าไปผังตัวอยู่ในหน่วยความจำ คอมพิวเตอร์ เรียบร้อยแล้ว เนื่องจากไวรัสก็เป็นแค่โปรแกรม ๆ หนึ่งการที่ไวรัสจะเข้าไปอยู่ ในหน่วยความจำได้นั้นจะต้องมีการถูกเรียกให้ทำงานได้นั้นยังขึ้นอยู่กับประเภทของไวรัส แต่ละตัวปกติผู้ใช้มักจะไม่รู้ตัวว่าได้ทำการปลุกคอมพิวเตอร์ไวรัสขึ้นมาทำงานแล้วจุดประสงค์ของการทำงานของไวรัสแต่ละตัวขึ้นอยู่กับตัวผู้เขียนโปรแกรมไวรัสนั้น เช่น อาจสร้างไวรัสให้ไปทำลายโปรแกรมหรือข้อมูลอื่น ๆ ที่อยู่ในเครื่องคอมพิวเตอร์ หรือ แสดงข้อความวิ่งไปมาบน หน้าจอ เป็นต้น






ที่มารูปภาพ : http://img22.imageshack.us/img22/74/antivirus2009snapshotggzw8.jpg

บทความ7. อธิบาย บริการจาก Google และยกตัวอย่าง (10 บริการ)

การให้บริการของ Google


SLA ของ Google Apps ระหว่างระยะเวลาของข้อตกลง Google Apps ("ข้อตกลง") ส่วนติดต่อทางเว็บของบริการที่ครอบคลุมของ Google Apps จะสามารถใช้งานได้และพร้อมให้บริการแก่ลูกค้าอย่างน้อย 99.9% ของเวลาในเดือนตามปฏิทินทั้งหมด ("SLA ของ Google Apps") ถ้า Google ไม่ปฏิบัติตาม SLA ของ Google Apps และถ้าลูกค้าปฏิบัติตามภาระหน้าที่ภายใต้ SLA ของ Google Apps นี้ ลูกค้าจะมีสิทธิ์ได้รับเครดิตบริการที่อธิบายไว้ด้านล่างนี้ SLA ของ Google Apps นี้จะเป็นการชดเชยเพียงอย่างเดียวของลูกค้า สำหรับกรณีของความบกพร่องของ Google ในการปฏิบัติตาม SLA ของ Google Apps

นิยาม คำนิยามต่อไปนี้จะใช้กับ SLA ของ Google Apps
"การหยุดทำงาน" สำหรับโดเมน หมายถึงกรณีที่มีอัตราข้อผิดพลาดของผู้ใช้มากกว่าห้าเปอร์เซ็นต์ การหยุดทำงานจะวัดจากอัตราข้อผิดพลาดฝั่งเซิร์ฟเวอร์
"บริการที่ครอบคลุมของ Google Apps" หมายถึงองค์ประกอบของบริการ Gmail, Google ปฏิทิน, Google Talk, Google เอกสารและไดรฟ์, Google Groups, Google Sites และ Google Apps ห้องนิรภัย ทั้งนี้ไม่รวมฟังก์ชันของ Gmail Labs, ตลอดจนองค์ประกอบ Google Apps – Postini Services, Gmail Voice หรือวิดีโอแชทของบริการ
"เปอร์เซ็นต์เวลาทำงานรายเดือน" หมายถึงจำนวนนาทีในเดือนตามปฏิทินลบด้วยจำนวนนาทีของการหยุดทำงานที่เกิดขึ้นในเดือนตามปฏิทินนั้น หารด้วยจำนวนนาทีทั้งหมดในเดือนตามปฏิทินนั้น
"บริการ" หมายถึงบริการของ Google Apps for Business (หรือเรียกอีกอย่างว่า Google Apps Premier Edition), บริการของ Google Apps for Government, บริการของ Google Apps for ISPs (เรียกอีกอย่างว่า Google Apps Partner Edition), บริการของ Google Apps for Education (เรียกอีกอย่างว่า Google Apps Education Edition) หรือ Google Apps ห้องนิรภัย (ในกรณีที่มี) ซึ่งให้บริการโดย Google แก่ลูกค้าตามข้อตกลงนี้
"เครดิตบริการ" หมายถึงสิ่งต่อไปนี้:

เปอร์เซ็นต์การทำงานรายเดือนจำนวนวันของบริการที่เพิ่มให้เมื่อสิ้นสุดระยะเวลาของบริการ (หรือเครดิตเป็นมูลค่าเงินเทียบเท่ากับมูลค่าของวันให้บริการสำหรับลูกค้าที่เรียกเก็บเงินภายหลังแบบรายเดือน) โดยไม่มีการเรียกเก็บเงินจากลูกค้า
< 99.9% - >= 99.0%3
< 99.0% - >= 95.0%7
< 95.0%15


ลูกค้าต้องขอรับเครดิตบริการ
เพื่อที่จะรับเครดิตบริการที่ระบุข้างต้น ลูกค้าต้องแจ้งแก่ Google ภายในสามสิบวันนับจากเวลาที่ลูกค้ามีสิทธิ์รับเครดิตบริการ หากไม่ปฏิบัติตามข้อกำหนดนี้จะทำให้ลูกค้าไม่มีสิทธิ์ได้รับเครดิตบริการ

เครดิตบริการสูงสุด
จำนวนเครดิตบริการสะสมสูงสุดที่จะออกโดย Google ให้แก่ลูกค้าสำหรับเวลาหยุดทำงานซึ่งเกิดขึ้นในเดือนตามปฏิทินเดือนเดียว จะไม่เกินสิบห้าวันบริการ ซึ่งจะเพิ่มต่อท้ายระยะเวลาบริการ (หรือมูลค่าของ 15 วันบริการในรูปของเครดิตเงินในบัญชีของลูกค้าที่เรียกเก็บเงินรายเดือน) เครดิตบริการนี้ไม่สามารถแลกรับหรือแปลงเป็นจำนวนเงิน ยกเว้นลูกค้าที่ใช้แผนการเรียกเก็บเงินรายเดือนของ Google

ข้อยกเว้นของ SLA ของ Google Apps
ข้อตกลงระดับการให้บริการ (SLA) ของ Google Apps ไม่มีผลกับบริการที่ยกเว้น SLA ของ Google Apps นี้อย่างชัดเจน (ตามที่ระบุในเอกสารสำหรับบริการนั้นๆ) หรือปัญหาด้านประสิทธิภาพทั้งหมด: (i) เกิดจากปัจจัยที่อธิบายในส่วน "สิ่งที่อยู่นอกเหนือการควบคุม" ของข้อตกลง หรือ (ii) ที่เกิดจากอุปกรณ์ของลูกค้าหรืออุปกรณ์ของบุคคลที่สาม หรือทั้งสองอย่าง (ไม่อยู่ในการควบคุมของ Google)


ตัวอย่างเช่น

Google AdSensehttps://www.google.com/adsense/
Google AdWordshttps://adwords.google.com/select/
Google Analyticshttp://google.com/analytics/
Google Answershttp://answers.google.com/
Google Basehttp://base.google.com/
Google Blog Searchhttp://blogsearch.google.com/
Google Bookmarkshttp://www.google.com/bookmarks/
Google Books Searchhttp://books.google.com/
Google Calendarhttp://google.com/calendar/
Google Catalogshttp://catalogs.google.com/
รวมการบริการทั้งหมดของ Google
ที่มารูปภาพ : http://www.ijook.com/wp-content/uploads/2007/10/google-services.gif

ที่มา :  http://www.google.com/apps/intl/th/terms/sla.html , http://www.mininoz.com/
 

บทความ6. อธิบาย Social Network และยกตัวอย่าง WebหรือApplication (10 ตัวอย่าง)

Social Network คืออะไร
    Social Network คือเว็บไซต์ที่เชื่อมโยงผู้คนไว้ด้วยกัน ผ่านInternet ซึ่งเป็นเว็บไซต์ช่วยให้คุณหาเพื่อนบนโลกอินเตอร์เน็ตได้ง่ายๆ เราสามารถที่จะสร้างพื้นที่ส่วนตัวขึ้นมา เพื่อแนะนำตัวเองได้ โดยเลือกได้ว่าต้องการรู้จักกับใคร หรือเป็นเพื่อนกับใคร ก็ได้ ตัวอย่าง Social Network เช่น 
www.Hi5.com
 www.Facebook.com
 www.MySpace.com
 www.twitter.com
www.skype.com
www.wechat.com
www.viber.com
www.tango.me
pinterest.en.softonic.com
www.youtube.com








ที่มารูปภาพ : http://mlmtosuccess.files.wordpress.com/2010/11/socialnetwork2.gif
ที่มา : http://hitech.sanook.com/1261319/10-%E0%B8%AD%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%94%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B9%81%E0%B8%AD%E0%B8%9E%E0%B8%82%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%8D%E0%B9%83%E0%B8%88%E0%B8%8A%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B9%82%E0%B8%8B%E0%B9%80%E0%B8%8A%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%A5/
ที่มา : http://www.mindphp.com/%E0%B8%84%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%A1%E0%B8%B7%E0%B8%AD/73-%E0%B8%84%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%AD%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%A3/2387-social-network-%E0%B8%84%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%AD%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%A3.html

บทความ5. อธิบาย Homepage/ Webpage /Website /Web Browser

โฮมเพจ (Home Page) คืออะไร
โฮมเพจ คือคำที่ใช้เรียกหน้าแรกของเว็บไซต์ ซึ่งประกอบไปด้วยเมนูต่างๆและเรื่องราวต่างๆมากมายคล้ายกับหน้าปกนิตรสารบ้านเรา ดังนั้นหากเราออกแบบหน้าโฮมเพจให้สวยงามและน่าสนใจ โอกาสที่ผู้ชมจะแวะเข้ามาเยี่ยมเยียนโฮมเพจของเราก็จะยิ่งมากตามไปด้วย

เว็บเพจ (Web Page) คืออะไร
เว็บเพจ คือ คำที่ใช้เรียกหน้าเอกสารต่างๆ ที่อยู่ในรูปแบบไฟล์ HTML (Hyper Text Markup Language) เปรียบเสมือนหน้ากระดาษแต่ละหน้าที่มีเรื่องราวต่างๆมากมายบรรจุอยู่ในนิตรสาร แต่แตกต่างกันตรงที่มีการเชื่อมโยง (Link) ซึ่งเราสามารถคลิกไปที่หน้าใดของโฮมเพจก็ได้

เว็บไซต์ คืออะไร
เว็บไซต์ (Website) หมายถึง แหล่งความรู้หรือข้อมูลข่าวสารที่ถูกเก็บไว้บนระบบ เน็ตเวิร์ก (Network) ออนไลน์ (Online) ที่เรียกว่า อินเตอร์เน็ต (Internet) ไม่ว่าคุณจะอยู่ที่ไดบนโลกนี้ถ้า คอมพิวเตอร์ (Computer) ของคุณได้ถูกเชื่อมต่อไว้กับระบบอินเตอร์เน็ต คุณก็สามารถที่จะเข้าชมเว็บไซต์ผ่านทาง ซอฟต์แวร์ (Software) ที่เรียกว่า เว็บบาวเซอร์ (Web Browser)

Web browser คือซอฟต์แวร์หรือโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่ใช้ในการเข้าถึงข้อมูลเและติดต่อสื่อสารกับระบบสารสนเทศที่อยู่ในรูปแบบของเว็บเพจ ซึ่งอยู่บนเครือข่ายคอมพิวเตอร์ที่ชื่อว่า World Wide Web (WWW)






ที่มารูปภาพ : https://encrypted-tbn2.gstatic.com/images?q=tbn:ANd9GcQhbu59aAMjnu56hUF2zOr9weI3qCDo6j3zX-I_3HmZnI4QGsY3 ที่มา : http://www.phuketmultimedia.com/knowledge.html#k2
ที่มา : http://xn--webbrowser-zc5aprjea9b5g9j.blogspot.com/

บทความ4. อธิบาย การใช้งานทั่วไปของ Email

วิธีการใช้งานทั่วไป
1. TO – หมายถึง ชื่อ E-mail สำหรับผู้รับ
2. FROM – หมายถึง ชื่อ E-mail สำหรับผู้ส่ง
3. SUBJECT – หมายถึง หัวข้อเนื้อหาของจดหมาย
4. CC – หมายถึงสำเนา E-mail ฉบับนี้ไปให้อีกบุคคลหนึ่ง
5. BCC – หมายถึงสำเนา E-mail ฉบับนี้ไปให้อีกบุคคลหนึ่ง แต่ผู้รับ (TO) จะไม่ทราบว่าเราสำเนาให้ใครบ้าง
6. ATTACHMENT – ส่ง file ข้อมูลแนบไปพร้อมกับ E-mail







ที่มา : http://res1.windows.microsoft.com/resbox/th/windows%20vista/main/05b04a57-94b2-4dc1-bbbd-a0cfebdd8e2a_0.png
ที่มา : http://support.tarad.com/help/2244

บทความ3. อธิบาย Search engine และยกตัวอย่างมา (10 Web Search engine)

Search Engine   คือ อะไร
     Search Engine   คือ เครื่องมือการค้นหาข้อมูลผ่านอินเทอร์เน็ต ที่ทุกคนสามารถเข้าไปค้นหาข้อมูลผ่านอินเทอร์เน็ตก็ได้ โดยกรอกข้อมูลที่ต้องการค้นหา หรือ Keyword (คีย์เวิร์ด) เข้าไปที่ช่อง Search Box แล้วกด Enter แค่นี้ข้อมูลที่เราค้นหาก็จะถูกแสดงออกมาอย่างมากมายก่ายกอง เพื่อให้เราเลือกข้อมูลตรงกับความต้องการที่สุดเอามาใช้งาน  โดยลักษณะการแสดงผลของ Search Engine นั้นจะทำการแสดงผลแบบ เรียงอันดับ Search Results ผ่านหน้าจอคอมพิวเตอร์ของเรา
     ตัวอย่าง Search Engine เช่น
http://www.google.com
http://search.yahoo.com
http://search.msn.co.in
http://www.look.com
http://www.dmoz.org
http://www.altavista.com
http://www.alexa.com
http://www.aesop.com
http://theyellowpages.com
http://www.goguides.org
http://www.netsearch.org
http://www.entireweb.com

บทความ2. อธิบาย Web Application

อธิบาย Web Application
                              ส่วนมากคนมักจะคุ้นเคยกับ Desk top Application หรือโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่ติดตั้งบนคอมพิวเตอร็์ส่วนบุคคล เช่น โปรแกรมพวก Microsoft Office เช่นโปรแกรมพิพม์งาน หรือ Word Processor ที่ใช้พิมพ์งาน ซึ่งจะติดตั้งบนเครื่องคอมพิวเตอร์ของคุณ  และใช้ได้ทีละคน
หากคุณทำงานที่บริษัทคุณจะคุ้นเคยกับโปรแกรมที่บริษัทใช้ เช่น ERP หรือ MRP หรือโปรแกรมห้องสมุด โปรแกรมพวกนี้มักจะเป็นโปรแกรมแบบ Client - Server คือโปรแกรมที่ใช้งานโดยคนหลายๆคนพร้อมๆกัน มีการเก็บข้อมูลไว้ที่ฐานข้อมูลกลาง ทำให้ทุกคนใช้ข้อมูลเดียวกัน ร่วมกันได้
โดยโปรแกรมจะถูกแบ่งออกเป็นสองส่วน คือส่วนหนึ่งถูกติดตั้งที่ Server ส่วนกลาง และอีกส่่่่วนติดตั้งที่คอมพิวเตอร์ของผู้ใช้ หรือที่เรียกว่า Client ซึ่งทั้งสองส่วนจะทำงานร่วมกัน โดยโปรแกรมบน Server มักจะทำงานหลักๆ ที่จำเป็นเช่นการคำนวน การค้นหาข้อมูล การเก็บข้อมูล ส่วนโปรแกรมที่คอมพิวเตอร์ของเรา หรือที่เรียกว่า Client นั้นจะทำหน้าที่นำเสนอข้อมูล และรับข้อมูลจากผู้ใช้ หรือที่เรียกว่าเป็น User Interface โปรแกรมแบบนี้ซับซ้อนและดูแลยาก เพราะหากคุณ Upgrade โปรแกรมที่ Server คุณก็ต้อง Upgrade โปรแกรมที่ Client ด้วย ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าปวดหัวเนื่องจาก Client มีหลายเครื่อง ยากที่ Upgrade ได้ครบ 
ในระยะหลังๆนี้คุณคงได้ยินโปรแกรมอีกประเภทที่ได้รับความนิยมมากขึ้น โปรแกรมนั้นก็คือ Web Application เป็นโปรแกรมที่ติดตั้งที่ Server  ซึ่ง Web Application สามารถใช้งานแทนโปรแกรมทั้งแบบ  Desktop และแบบ Client - Server เช่น โปรแกรม Google Application ซึ่งใช้แทน Microsoft Office เช่นมีทั้ง Word Processor และหรือ Spread Sheet ที่ใช้แทน Excel
โดยเฉพาะโปรแกรมแบบ Client-Server หลายตัวก็กำลังแปลงตัวเป็น Web Application เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้า เช่น SAP, Lotus Notes ฯลฯ 
 ข้อดีของ Web Application ตรงที่ Web Application ไม่ต้องใช้ Client Program ทำให้ไม่ต้อง Upgrade Client Program และสามารถใช้ผ่าน Internet Connection ที่มีความเร็วต่ำกว่า ทำให้ใช้โปรแกรมได้จากทุกแห่งในโลก



ที่มารูปภาพ : http://chocolabeebee.blog.com/files/2011/06/Web2-framework1.jpg

บทความ1. อธิบายประวัติความเป็นมาของ Internet จากอดีต-ปัจจุบัน

วิวัฒนาการของอินเตอร์เน็ต
ในสมัยแรก ๆ อินเตอร์เน็ตได้ถูกใช้ในหมู่นักวิจัยเท่านั้น การใช้งานค่อนข้างยาก ต้องพิมพ์คำสั่งยาว ๆ ไม่มีรูปภาพสวยงามเหมือนในปัจจุบัน บริการที่นิยมใช้กันในสมัยนั้นได้แก่ จดหมายอิเล็กทรอนิคส์ (Email) แหล่งพูดคุย (IRC , USENET) การเข้าใช้เครื่องที่อยู่ระยะไกล (Telnet) การใช้งานฐานข้อมูลระยะไกล (WAIS , Archie) และ Veronica และใช้ในการส่งไฟล์ระหว่างหน่วยงานรัฐ บริษัท และมหาวิทยาลัย (FTP และ Gopher)
อินเตอร์เน็ตยุคใหม่ ที่มีรูปภาพสวยงามและใช้งานง่าย เพิ่งกำเนิดขึ้นมาในปี 2534 นี้เอง บริการแรกที่ถูกเปลี่ยนมาใช้ในแบบนี้ คือ WWW (World Wide Web) ซึ่งได้กลายมาเป็นบริการหลักของอินเตอร์เน็ตในปัจจุบัน
ระบบอินเทอร์เน็ตของประเทศไทย
โครงสร้างของอินเทอร์เน็ตในประเทศไทย (พ.ย. 2545) ปัจจุบันประกอบด้วย ISP 18 ราย และผู้ให้บริการแบบไม่หวังผลกำไรอีก 4 ราย แต่มีรูปแบบช่องรับ/ส่งสัญญาณที่แตกต่างกันออกไป   ทั้งนี้ ISP ทุกราย (ทั้งเชิงพาณิชย์และไม่หวังผลกำไร) จะต้องเช่าช่องสัญญาณจากจากผู้ให้บริการวงจรสื่อสารอีกต่อหนึ่ง โดยแบ่งเป็น

ช่องสัญญาณการเชื่อมต่อภายในประเทศ - ISP สามารถเลือกเช่าช่องสัญญาณได้โดยเสรี ทั้งจาก ทศท.กสท., TelecomAsia, DataNet โดยวงจรของทุกราย จะเชื่อมต่อกับจุดแลกเปลี่ยนสัญญาณภายในประเทศ เพื่อความรวดเร็วในการแลกเปลี่ยนข้อมูล นั่นคือ การติดต่อสื่อสารระหว่างคู่สื่อสารในประเทศไทย สามารถทำได้สะดวก ไม่ว่าคู่สื่อสารนั้น จะใช้บริการของ ISP รายใดก็ตาม ทั้งนี้จุดแลกเปลี่ยนในปัจจุบันได้แก่ IIR (Internet Information Research) ของเนคเทคและ NIX (National Internet Exchange) ของ กสท.
ช่องสัญญาณการเชื่อมต่อระหว่างประเทศ - ISP จะต้องผ่าน กสทเท่านั้น เนื่องจากกฎหมายปัจจุบันยังไม่ให้อนุญาตให้ทำการส่งข้อมูลเข้า-ออกของไทย โดยปราศจากการควบคุมของ กสทโดย ISP จะเชื่อมสัญญาณเข้ากับ IIG(International Internet Gateway)

บริการต่าง ๆ ในอินเตอร์เนต

เครือ ข่าย อินเตอร์ เนต เป็น เครือ ข่าย ที่ มี การ เชื่อม โยง กัน ไป ทั่ว โลก ใน แต่ ละ เครือ ข่าย ก็ จ ะมี เครื่อง คอมพิวเตอร์ ที่ ทำหน้า ที่ เป็น ผู้ ให้ บริการ ซึ่ง เรียกว่า เซิร์ฟเวอร์ (serverหรือ โฮสต์ (host) เชื่อม ต่อ อยู่ เป็น จำนวน มาก ระบบ คอมพิวเตอร์ เหล่า นี้ จะ ให้ บริการ ต่าง ๆ แล้ว แต่ ลักษณะ และ จุด ประสงค์ ที่เจ้า ของ เครือ ข่ายนั้น หรือ เจ้า ของ ระบบ คอมพิวเตอร์ นั้น ตั้ง ขึ้น ในอดีต มัก มี เฉพาะ บริการ เรื่อง ข้อมูล ข่าวสาร และ โปรแกรม ที่ใช้ ใน แวดวง การ ศึกษา วิจัย เป็น หลัก แต่ ปัจจุบัน ก็ ได้ ขยาย เข้า สู่ เรื่อง ของ การ ค้า และ ธุรกิจ แทบ จะ ทุก ด้าน บริการ ต่าง ๆบน อินเตอร์เนต อาจ แบ่ง ได้ เป็น 2 กลุ่ม ใหญ่ ๆ ดังนี้
1. บริการด้านการสื่อสาร
·       
 ไปรษณีย์ อิเล็กทรอนิกส์ (E-mail) ผู้ใช้ บริการ สามารถ ติด ต่อ รับ-ส่ง ไปรษณีย์ อิเล็ก ทรอนิกส์ หรือ E-mail กับ ผู้ ใช้อินเตอร์ เนต ทั่ว โลก กว่า 20 ล้าน คน ได้ โดย ไม่ ต้อง เสียค่า ใช้ จ่าย เพิ่ม เติม และ ยัง สะดวก รวดเร็ว ทันใจ ด้วย

·       




 สนทนาแบบออนไลน์ ผู้ใช้ บริการ สามารถ คุย โต้ตอบ กับ ผู้ใช้ คน อื่น ๆ ใน อินเตอร์ เนต ได้ ในเวลา เดียว กัน (โดย การ พิมพ์ ทาง คีย์ บอร์ดซึ่ง ก็ สนุก และ รวด เร็ว ดี บริการ สนทนา แบบ ออนไลน์ นี้ เรียก ว่า Talk เนื่อง จาก ใช้ โปร แกรม ที่ชื่อ ว่า Talk ติดต่อ กัน หรือ จะ คุย กัน เป็น กลุ่ม หลาย ๆ คน ใน ลักษณะ ของ Chat (Internet Relay Chat หรือ IRC) ก็ได้

·       

Newsgroup เป็น การ ให้ บริการ ใน ลักษณะ ที่แบ่ง เป็น กลุ่ม ย่อย ๆ จำ นวน หลาย พันกลุ่ม เรียกว่า กลุ่ม Newsgroup ทุกๆ วัน จะ มี ผู้ส่ง ข่าว สาร กัน ผ่าน ระบบ ดัง กล่าว โดย แบ่ง แยก ออก ตาม กลุ่ม ที่ สนใจ เช่น กลุ่ม ผู้ สนใจ ศิลปะกลุ่ม ผู้ สนใจ เพลง ร็อค เป็นต้น

·        Telnet ใน กรณี ที่ ผู้ ใช้ ต้องการ ใช้งาน เครื่อง คอมพิวเตอร์ เครื่อง อื่น ซึ่ง ตั้ง อยู่ ไกล ออก ไป ก็ สามารถ ใช้ บริการ Telnet เพื่อ ใช้ งาน เครื่อง ดัง กล่าว ได้ เหมือน กับเรา ไป ใช้ เครื่อง นั้น เอง โดย จำลอง คอมพิวเตอร์ ของ เรา ให้ เป็น เสมือน จอ ภาพ บน เครื่อง คอมพิวเตอร์ นั้น ได้


FTP บริการ โอนย้าย ไฟล์ ข้อมูล ถ้า ผู้ ใช้ต้อง การ โอนย้าย ไฟล์ ข้อมูล หรือ ไฟล์ โปรแกรม ต่าง ๆ ก็ อาจ เรียก ใช้ FTP หรือ File Transfer Protocol ซึ่ง จะช่วย ให้ ผู้ ใช้ ติด ต่อ เข้า สู่ เครื่อง คอมพิวเตอร์ ที่ต้อง การ ใน อินเตอร์เนต และ ดาวน์โหลด หรือ โอนย้าย ไฟล์ ที่ ผู้ ใช้ ต้องการ มา ใช้ ได้

2. บริการค้นหาข้อมูลต่าง ๆ
1.       อินเตอร์เนต World Wide Web เป็น บริการ ที่ แพร่ หลาย และ ขยาย ตัวเร็ว ที่สุด บน เรา สามารถ ที่ จะ ไป ดู ข้อ มูล ต่าง ๆ ได้ ทั่ว โลก เช่น ข้อ มูล ทาง วิทยาศาสตร์ธุรกิจการ ศึกษา,มหาวิทยาลัยโรงเรียน ต่าง ๆ ภาพยนตร์ ดนตรี และ อื่นๆ อีก มากมาย ซึ่ง ปัจจุบัน มีการ ผนวก รูปภาพ เสียง ภาพ เคลื่อนไหว ที่ เรา เรียกว่า เป็น แบบ มัลติมีเดีย ได้ และ สามารถ เชื่อม โยง ไป ยัง เอกสาร หรือ ข้อมูล อื่นๆ ได้โดยตรง









2.   Gopher เป็น บริการ ค้นหา ข้อมูล แบบ ตาม ลำดับ ขั้น ซึ่ง มี เมนู ให้ ใช้ งาน ได้ สะดวก ลักษณะ การ ใช้งาน จะ คล้าย คลึงกับ ส่วนของ World Wide Web โดย ผู้ ใช้ สามารถ เลือก เข้า ไปดู ตาม หัว ข้อ ที่ มี อยู่ ลึก ลง ไป ได้ อีก แต่ ข้อมูล ส่วน ใหญ่ จะ เป็นใน เชิง วิทยาศาสตร์ และ การ วิจัย

คำศัพท์ที่เกี่ยวกับอินเตอร์เนต


Browser : โปรแกรมที่มีไว้สำหรับชมข่าวสารต่างๆ หรือที่เรารู้จักกันในระบบ WWW บนอินเตอร์เนต เนื่องจากข้อมูลที่มาจากเครือข่ายนั้น เป็นเพียงไฟล์ภาษา HTML และไฟล์ต่างๆ ที่ยังไม่ได้รับการประมวลผล ฉะนั้นจำเป็นที่จะต้องผ่าน โปรแกรม เบราเซอร์ นี้เสียก่อน ท่านจึงจะสามารถชม เวบไซต์ต่างๆ บนอินเตอร์เนตได้ ตัวอย่าง ของเวบเบราเซอร์ยอดนิยมก็คือ Internet Explorer , Netscape Communicator , Opera , Neoplanet หรือถ้าเป็นของ ไทย ก็ โปรแกรม ไทยเบราเซอร์ เป็นต้น

Client : คือ คอมพิวเตอร์ ตัวลูก หรือคอมพิวเตอร์ในส่วนของผู้ใช้บริการที่มีการ เชื่อมต่อกับ เครื่องคอมพิวเตอร์อีกตัวหนึ่งที่เรียกกันว่า ตัวแม่ ( Server Host ) หรือ คอมพิวเตอร์ ผู้ให้บริการ ในส่วนของ อินเตอร์เนต คือ คอมพิวเตอร์ที่ใช้งานใน บ้าน หรือว่า สำนักงาน ที่เชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์ ตัวแม่ ที่ศูนย์ของผู้ให้บริการ อินเตอร์เนต ( ISP )

DNS Domain Name Server ) : โดยมากหมายถึง ชื่อหรือว่ารหัสของ ศูนย์คอมพิวเตอร์ ของผู้ที่ให้บริการอินเตอร์เนต เช่น www.ksc.net เป็นต้น ครับ
Download : คือการโอนย้ายไฟล์มาจากที่หนึ่งไปอีกทีหนึ่ง เช่น การโอนไฟล์หรือว่าข้อมูลมาจาก อินเตอร์เนต หรือว่า จาก คอมพิวเตอร์ เครื่องอื่นๆ เข้ามาบันทึกเอาไว้ในเครื่อง คอมพิวเตอร์ ของเรา อย่าง เวบไทยแวร์ เรา ทำในเรื่อง ดาวน์โหลด นี้โดยตรงเลยครับผม

E-Mail ( Electronic Mail ) : การส่งข้อความหรือว่าเอกสารต่างๆ ผ่านระบบ หรือว่าเครือข่าย อินเตอร์เนต ในรูปแบบที่คล้ายกับการส่งจดหมาย หรือว่า พัสดุภัณฑ์ โดยที่จะ ประหยัดค่าใช้จ่าย และ ประหยัดเวลา หากต้องส่งไปยังที่ไกลๆ หรือว่ายังต่างประเทศ

Freeware : คำนี้ มันจะเห็นในเวบของเรากันบ่อยนะครับ จริงๆแล้วมันคือ โปรแกรมที่ท่าน ดาวน์โหลด ไปแล้ว ไม่เสียกะตังค์นั่นเองครับ คือว่าโปรแกรมนั้นเขา แจกแล้วแจกเลยครับผม

Homepage : หน้าแรกสุดของเวบไซต์ต่างๆ ประหนึ่งห้องรับแขก หรือว่า ห้องแรกในบ้านหรือเวบไซต์ นั้นๆ กล่าวคือ เมื่อเราเรียกชื่อเวบต่างๆ ขึ้นมาชม หน้าแรกที่คุณพบนั้นคือ โฮมเพจ นั่นเอง ....

Internet : คือ ระบบเครือข่ายที่ใหญ่มากๆ ประกอบไปด้วยข่าวสารข้อมูลต่างๆ ภาพ แสง สี เสียง ฯลฯ เกาะกลุ่มกันอยู่ในเครือข่าย อินเตอร์เนต ซึ่งเชื่อมโยงกันอยู่ทั่วโลก ให้พวกเราค้นคว้ากันอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
Server : มีความหมายคล้ายกับ Host เพียงแต่ Server จะหมายถึง คอมพิวเตอร์ ตัวแม่ ที่เชื่อมเครือข่ายกับคอมพิวเตอร์ ตัวลูก ในลักษณะส่วนตัวหรือว่าระบบที่แคบกว่า Host World
World Wide Web หรือเรียกย่อ ๆ ว่า WWW เป็นระบบการสืบค้นข้อมูล ข่าวสาร ซึ่งจัดได้ว่าเป็นบริการ ที่ได้รับความนิยมที่สุด และการขยายตัว ของบริการชนิดนี้ก็เป็นไปอย่างรวดเร็ว เมื่อเข้าสู่บริการเรียก ค้นข้อมูล World Wide Web แล้ว ผู้ใช้จะได้รับข่าวสารที่แสดงใน แบบสื่อผสม (Multimedia) ประกอบด้วยรูปภาพเสียงภาพเคลื่อนไหวหรือวิดีโอ,ตัวอักษรข้อความ Hypertext ทำให้การ ใช้บริการง่ายขึ้น แต่ส่วนที่ สำคัญอีก 2 ส่วน ในการใช้บริการ World Wide Web ก็คือตัว โปรแกรมที่เรียกว่า browser หรือ Web browser และแหล่งข้อมูลหรือWeb Site ที่จะคอยให้บริการแก่ผู้ใช้
Web Site หรือ Web Server ก็คือ ระบบคอมพิวเตอร์ที่ให้บริการเรียกค้นข้อมูลแบบหนึ่งในอินเตอร์เนต ถ้าอธิบายง่าย ๆWeb Site ก็คือ สถานที่ที่เก็บข้อมูลซึ่งข้อมูลที่เก็บอยู่ใน Web Site จะอยู่ในรูปของเอกสาร HTMLเป็นข้อมูลแบบ มัลติมิเดียที่มีทั้งตัวอักษร ข้อความ รูปภาพเสียง หรือแม้กระทั่งภาพเคลื่อนไหว แบบวิดีโอซึ่งเราเรียก เอกสารดังกล่าวว่า Home page หรือ Web page
Web Browser ก็คือ โปรแกรมพิเศษที่เราต้องอาศัยมันเพื่อที่จะเรียกค้นข้อมูลขึ้นมา
Hypertext คือ ตัวอักษร ข้อความที่มี การเชื่อมโยง ถึงกันได้ ข้อความที่เป็น Hypertext สังเกตได้จาก ถ้าเราชี้ไปที่ ข้อความ แล้วปรากฎ รูปมือขึ้นมา แสดงว่าเราสามารถที่จะ link เข้าไปดูข้อมูลได้อีก